เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ พ.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ สิ่งที่เราพูดนั่นเป็นวิสาสะ วิสาสะคือแสดงความเป็นกันเอง ถ้าแสดงความเป็นกันเอง ความเป็นกันเองมันไว้เนื้อเชื่อใจ เวลาพูดสิ่งใดมันก็ฟัง สิ่งใดเราตั้งป้อมกันเลยนะ เอ็งพวกข้า พวกเราตั้งป้อมแข่งกันเวลาแสดงธรรมมันไม่เข้าถึงหัวใจหรอกเพราะเราตั้งป้อม ตั้งป้อม มีกำแพง

เวลาเราเทศนาว่าการกำแพง กิเลสในหัวใจของเรามันตั้งป้อม มันไม่ยอมฟังใครหรอก มันว่ามันมีความรู้มันมีความฉลาดทั้งนั้นน่ะ แต่ความฉลาดอันนั้นเป็นความไร้เดียงสาความไร้เดียงสาคือมันไม่มีประสบการณ์ไง

กาลเทศะสิ่งที่สมควรและไม่สมควร ถ้าสมควรนะ สิ่งที่สมควร เราทำแล้วเราจะได้ประโยชน์ของเรา ถ้ามันไม่สมควร เราต้องศึกษา คำว่า“ศึกษา” คือประสบการณ์ประสบการณ์ทำความจริงของเรา ทำสิ่งที่ดีของเรา ถ้าทำเพื่อประโยชน์กับเราถ้าทำเพื่อประโยชน์กับเรานะ มันเป็นประโยชน์กับเรา

ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เราทำดีของเรานะจะทำอยู่ใต้บาดาล จะทำที่ไหน ไม่มีใครรู้ใครเห็น นั่นเรื่องของเขา แต่ในใจของเรา เพราะอะไร เพราะเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตดวงนี้มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันไม่มีใครมาให้คะแนนมันหรอกแต่สิ่งที่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันเป็นผู้กระทำมาไง เราทำคุณงามความดีมา เราทำสิ่งใดมา มันฝังในหัวใจเรามา

ดูสิ เวลาพระโมคคัลลานะเกิดมา เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายผู้มีฤทธิ์มีเดชมหาศาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งให้เป็นเอตทัคคะ ถึงเวลากรรมมันให้ผล เวลากรรมมันให้ผลเพราะอะไร เพราะในอดีตอันยาวไกลนั้นได้ทำลายแม่ได้ฆ่าแม่ไว้ ได้ทำลายแม่ ได้ฆ่าแม่ไว้นั่นล่ะ ผลสิ่งนั้นตกนรกอเวจีแล้ว เวลาพ้นจากนรกอเวจีขึ้นมา สร้างสมบุญญาธิการขึ้นมาจนมาได้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เศษกรรมอันนั้นยังตามมาว่าให้โจรมาทุบตาย โจรมาทุบตาย คำว่า “ทุบตาย” เศษเวรเศษกรรมที่มันทำมา

เวลาทำดีทำชั่วขึ้นมามันไม่มีใครเป็นพยานกับเราหรอก ความชั่วนั่นล่ะ ความลับไม่มีในโลกหัวใจนี้มันทำมาเราทำคุณงามความดีขนาดไหน เราทำที่ไหนมันก็เป็นความดีของเรา

เราทำคุณงามความดีขึ้นมา ต้องการให้คนยอมรับถ้าใครไม่ยอมรับก็มีความทุกข์ใจ “ทำดีแล้วไม่ได้ดี”

ทำดีแล้วมันสบายใจ ทำดีแล้วเป็นบุญของเรา ทำดีก็คือทำดี แต่เวลามันทำความชั่วสิมันปิดกั้นไว้ไม่ให้ใครรู้ไม่ให้ใครเห็น มันว่าไม่มีใครรู้ใครเห็น นั่นล่ะมันฝังลงที่ใจ คนทำมันรู้ทั้งนั้นน่ะ เวลาทำแล้วรู้ขึ้นมาแล้ว เวลาบาปอกุศลมันสนองมา “ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมเป็นอย่างนี้”

ก็เอ็งทำมา เอ็งทำมาทั้งนั้น เอ็งจะรู้หรือไม่รู้นั่นก็ทำมาคำว่า “รู้ ไม่รู้” มันอดีตชาติไง สิ่งที่ทำมาแล้วสะสมลงที่ใจ มันเป็นจริตนิสัย ดูสิ ดูนิสัยของเราสินิสัยของเรา เราก็อยากจะให้มันนุ่มนวล อยากให้สังคมเขายกย่องสรรเสริญ แต่ทำไมมันออกมาเป็นเจ๊กบ้าอย่างนี้ล่ะ มันเจ๊กบ้ามันก็เรื่องของเจ๊กบ้า มันเป็นนิสัย มันเป็นสันดาน สันดานมันเป็นอย่างนั้นถ้าเป็นอย่างนั้นออกมาแล้วมันเป็นความจริง

น้ำ น้ำถ้ามันเปิดให้โล่งโถง น้ำไหลไปด้วยความแรงของมัน น้ำ มีข้องอ มีการชักให้น้ำขึ้นสูง เวลาชักน้ำขึ้นที่สูงเขาต้องใช้พลังงานดึงน้ำขึ้นที่สูงเพื่อให้มันไหลไป อันนั้นมันเป็นขั้นตอนในทางวิทยาศาสตร์ไงนี่พูดถึงจริตนิสัยจริตนิสัยของคนถ้าจริตนิสัยของคน เราทำคุณงามความดีของเรา ทำที่ไหนก็เป็นคุณงามความดีของเรา

นี่ออกพรรษาแล้ว เวลาออกพรรษาขึ้นมาแล้วเขามีการแข่งขัน เขาแข่งเรือยาวกัน มันก็เป็นประเพณีวัฒนธรรม ที่ไหนก็แล้วแต่ เขาบอกมีหนึ่งเดียวในโลก ของฉันหนึ่งเดียวในโลกนะ ไม่มีใครเหมือนฉันเลยแหละ ของฉันหนึ่งเดียวในโลก แต่มันก็เป็นการแข่งเรือยาว

การแข่งเรือยาวมันเป็นประเพณีวัฒนธรรม การแข่งขันนั้นเขาต้องมีฝีพายของเขา เขาต้องฝึกฝนของเขาต้องออกกำลังกายของเขา ต้องมีความพร้อมเพรียงของเขาเขาแข่งขันกัน ผู้ที่มีความพร้อมเพรียง ผู้ที่มีความแข็งแรงกว่าเป็นผู้ที่ชนะผู้ที่พ่ายแพ้ไปนะเขาก็ไปฝึกฝนใหม่เพื่อจะมาแข่งขัน

อำนาจวาสนานะ เราแข่งบุญแข่งกุศลกัน เราแข่งที่ไหนล่ะ เราแข่งที่ไหนเราสร้างคุณงามความดีของเราดูสิ ร่างกายของเราถ้ามันแข็งแรง ออกกำลังกาย เราดูแลร่างกายของเราเพื่อให้มันแข็งแรง เราทำงานสิ่งใดขึ้นมามันก็สะดวกสบายใช่ไหม ร่างกายของเรามีความเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ทำสิ่งใดมันก็ติดขัด ขัดข้องไปใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเรา ถ้าเราแข็งแรงของเราเราแข็งแรง ฟังธรรมๆ ฟังธรรมแล้วไม่ต้องไปน้อยเนื้อต่ำใจกับใคร ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจกับใคร

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมามีความเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ขึ้น พอพระอาทิตย์ขึ้นบ้านคนจนคนรวย บ้านเศรษฐีกุฎุมพีบ้านของใครมียาจกเข็ญใจพระอาทิตย์ส่องเสมอกันหมดเลย ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมแสดงธรรมก็เพื่อหัวใจของสัตว์โลก สัตว์โลกที่มันมีเวรมีกรรมในหัวใจ

ฉะนั้น เราฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อหัวใจอันนี้ ถ้าฟังธรรมแล้วไม่ต้องไปอายใคร ไม่ต้องไปอายใครว่าฉันนี่ แหม! ฉันคนมีกิเลส ฉันต้องฟังธรรม ฉันต้องขัดเกลา ไม่ต้องไปอายใครเวลาจะฟังธรรมก็ไปอายเขาแหม! ถ้าเราไปเที่ยวชายทะเลไปเที่ยวรอบโลกกลับมา ถ่ายรูปมาอวดกันใหญ่เลย ฉันไปรอบโลกกลับมา มันรูดไปเท่าไรไม่รู้มันต้องมาจ่ายธนาคาร

ไอ้ของเรามันสบายใจหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราจะไปอายใคร เราบำรุงหัวใจของเรา หัวใจของเราให้มันแข็งแรงขึ้นมา ถ้าเราบำรุงหัวใจของเราให้มันแข็งแรงขึ้นมา ถ้ามันแข็งแรงขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ทางโลก กระแสสังคมที่มันชักนำกันไป เวลานักขัตฤกษ์ ไอ้พวกกรุงเทพฯมันสบายใจเลยล่ะ รถโล่ง ว่างไอ้พวกนั้นไปให้หมดไป ไปเที่ยวไหนก็ไปนะ เราอยู่ในกรุงเทพฯสบาย นักขัตฤกษ์สักทีหนึ่งพวกชาวกรุงเทพฯ ก็มีความสุขเสียทีหนึ่ง มันโล่งโถงเงียบหมดเลยนะมันไปหมดเลยเราอยู่ของเรา

นี่ก็เหมือนกัน เราหายใจเข้านึกพุท เราหายใจออกนึกโธ เรามีความสงบร่มเย็นในหัวใจของเรา เวลาไปที่ไหนมันมีแต่ความเหนื่อยล้าทั้งนั้นน่ะ ไปทัศนศึกษาไปเพื่อความฉลาดเพื่อความฉลาดนั้นเพื่อเป็นทางโลกของเขา เป็นวิชาการของเขาก็เพื่อมองโลกกว้าง เพื่อมองต่างๆ อันนั้นมันก็เป็นประโยชน์อันหนึ่ง เป็นการศึกษา

แต่ของเรา เราศึกษาหัวใจของเราหัวใจนี้ที่มันหมักหมมในใจนี่แข่งอำนาจวาสนากัน แข่งเรือแข่งพายเขาแข่งกัน แข่งกันเพื่อเอาชนะคะคานกัน ชนะคะคานกัน ชนะแล้วถ้าจิตใจเป็นนักกีฬา เขาก็ชื่นชมว่าผู้ที่ชนะเขามีความสามารถมากกว่าเรา เราก็ชื่นชมเขา นี่น้ำใจนักกีฬา ถ้าน้ำใจนักกีฬา มันฝึกไง ฝึกหัดความพ่ายแพ้

แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมารเราแพ้เป็นพระฝึกหัดการพ่ายแพ้ พ่ายแพ้แล้วเราก็จะไปฝึกฝนของเราใหม่ไม่ใช่ฝึกความพ่ายแพ้ เวลาพ่ายแพ้ขึ้นมาเราพ่ายแพ้ขึ้นมา เราก็จะไม่ยอมจำนนกับเขา เราด้วยเล่ห์ด้วยกลจะเอาชนะเขา ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เราพ่ายแพ้เราก็ไปฝึกฝนของเรา เราพ่ายแพ้เพราะเหตุใดพ่ายแพ้ขึ้นมาเพราะว่ากำลังของเราไม่สามัคคีกัน กำลังของเราไม่พอเราก็พ่ายแพ้เขา

นี่ก็เหมือนกัน เราดูแลหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรามันพ่ายแพ้กิเลสไง กิเลสมันเหยียบย่ำตลอดนะ มันหงุดหงิดขัดข้องหมองใจทั้งนั้นน่ะ ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่เป็นการยืนยันกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกดวงใจว้าเหว่ จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนทุกดวงใจว้าเหว่เราก็รู้ๆ อยู่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนอยู่ตลอดเวลาไง ถ้าเตือนอยู่ตลอดเวลา

ออกพรรษาแล้ว ในพรรษาเราก็เข้มข้นเข้มงวด เราดูแลรักษาหัวใจของเรามา ออกพรรษาแล้วเวลามันยาวไกล ถ้าจะเข้มข้นก็ไปพรรษาหน้า แต่ถ้าพรรษานี้ ออกพรรษาแล้วเราก็จะดูแลหัวใจของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติต่อไป

กาลเวลาสิ้นสุดของกาลเวลา กาลเวลาชีวิตอยู่กับกาลเวลา กาลเวลาก็มีอายุขัย มันก็เพิ่มมากขึ้น ชีวิตเรามันก็มีประสบการณ์มากขึ้นประสบการณ์มากขึ้น จิตใจต้องเข้มแข็งมากขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น แต่ทำไมหงุดหงิดมากขึ้นจิตใจที่มันไม่เข้มแข็งขึ้นมามันมีแต่ความบีบคั้นหัวใจ ถ้าความบีบคั้นหัวใจนะ ฟังธรรมๆ ฟังธรรม สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วก็ตอกย้ำสิ่งที่แก้ความลังเลสงสัยของเรา เวลามันผ่องแผ้ว ชีวิตนี้มันก็เป็นแบบนี้ถ้าชีวิตนี้เป็นแบบนี้ เราจะเอามากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้มันก็ไม่เป็นอย่างที่เราปรารถนา

ถ้าเราจะเอามากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้มันไม่เป็นอย่างที่เราปรารถนาถ้าเรารักษาขึ้นมา ถ้ามันดีขึ้นมามันอิ่มเต็มขึ้นมาชีวิตก็เป็นแบบนี้ชีวิตเกิดมา เกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนาพระพุทธศาสนาสอนถึงการดูแลรักษาหัวใจของเรา

การดูแลรักษาหัวใจของเรา หัวใจของเราถ้ามันดีงามขึ้นมาแล้ว ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถ้ามันจะพลัดพราก มันจะไปสิ่งใดก็ให้มันมีบุญกุศล ให้มีสิ่งใดอุ้มชูหัวใจนี้ไป ถ้าอุ้มชูหัวใจนี้ไปเวลาเกิดอีกถ้ามีสติปัญญาขึ้นมาถ้าอุ้มชูไป จิตที่มันเบาเกิดบนสวรรค์ นี่จิตที่เบา จิตที่หนักหน่วงเกิดในที่ต่ำต้อย เวลาด้วยความอาฆาตมาดร้ายต่างๆ มันเกิดในที่ต่ำต้อยทั้งนั้นน่ะ แต่ด้วยบุญกุศล ด้วยความเสียสละ ด้วยความให้อภัยต่อกัน มันสูงขึ้นทั้งนั้นน่ะ หัวใจนี้มันสูงส่ง มันดีขึ้นมาจิตใจมันเบา เรารักษาของเราแล้วต้องให้ใครอุทิศส่วนกุศลให้เราล่ะ เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเราฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้

เรามาเสียสละกันอยู่นี่เสียสละเข้ามาฝึกหัดหัวใจของเรา เสียสละทานเสียสละทานสิ่งที่เป็นวัตถุ เวลาเป็นวัตถุก็ฝึกหัดหัวใจ เจตนาไงเราเสียสละของเรา เราเสียสละของเราเพื่อประโยชน์ของเรา การเสียสละด้วยความภูมิใจนะ ปฏิคาหกขณะที่จะให้ ให้แล้ว ขณะให้ ถ้ามันมีความภูมิใจแต่ถ้ากิเลสขึ้นมา มันเสียดายทั้งเสียดาย ทั้งหงุดหงิด ทำแล้วมันจะไม่ได้

ฉะนั้นเวลาบอกว่า ถ้าทำบุญที่สะอาดที่สุดคือทำบุญทิ้งเหว

เขาบอกทำบุญทิ้งเหวได้อย่างไร ทำบุญทิ้งเหวไม่มีปัญญา

ทำบุญทิ้งเหวคือว่าไม่ให้กิเลสมันตามมาทันไง ทำบุญทิ้งเหว เราทำของเรามีคุณค่า

เราอธิษฐานบนศีรษะ บนหัว เราทิ้งเหวที่ไหน

แต่เวลาทิ้งเหวๆ คือไม่ให้กิเลสมันตามมาทันไง มันคิดเสียดงเสียดายมันคิดแล้วมันต่ำต้อย แต่ถ้ามันทิ้งเหว ทิ้งเหวคือขาดกันไป ทำแล้วมันจบสิ้นกันไป จิตใจมันจะพัฒนาๆ

เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติ เวลาจะสิ้นสุดแห่งทุกข์ความอาลัยอาวรณ์ ความอาลัยอาวรณ์นะความคิดถึงกันมันจะตัดขาดอย่างไร แม้แต่คนเราเวลาความโลภ ความโกรธ ความหลงความกระทบกระเทือนกัน มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกหยาบๆ แต่เวลาความอาลัยอาวรณ์ เราให้อภัยหมดแล้วแต่มันก็ยังมีสายใยต่อกันสายใยๆ สายใยที่มันจะถึงกันเวลามันจะพิจารณา มันต้องไปตัดตรงนั้นน่ะถ้ามันขาดตรงนั้นมันถึงเป็นอิสระ ถ้าความเป็นอิสระ

มันวางหมดแล้วไง ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่ถือสาใคร ให้อภัยใครทั้งหมดเลย แต่มันมีสายใย มีสายใยของมัน นี่ความอาลัยอาวรณ์ เวลาจะมาตัดความอาลัยอาวรณ์ความเกี่ยวข้องกัน มันถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถ้ามันถึงที่สุดแห่งทุกข์หัวใจเรา เราพัฒนามาอย่างนี้ฟังธรรมๆ เพื่อประโยชน์กับหัวใจดวงนี้พัฒนาขึ้นมา

เริ่มต้นขึ้นมา เวลาเขาก่อสร้างขึ้นมามันก็ต้องใช้โครงสร้างก่อนมันก็หยาบๆ ทั้งนั้นน่ะ เวลาไปตบแต่งภายในมันต้องละเอียดขึ้น นี่ก็เหมือนกันถ้าจิตใจมันยังไม่ได้ ก็อาศัยวัตถุเป็นการฝึกหัดหัวใจไปก่อน แต่เวลาทาน ศีล ภาวนาเวลาจิตใจมันละเอียดลึกซึ้งเข้ามา เรานั่งสมาธิภาวนาของเราแล้ว

เวลาทำบุญกุศล การปฏิบัติบูชาสำคัญที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้เลย“อานนท์ เธอบอกเขานะ อย่าบูชาเราด้วยอามิสเลย”

สิ่งที่เป็นวัตถุเป็นอามิสทั้งนั้นน่ะ เราบูชาด้วยอามิส บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยอามิสด้วยดอกไม้ ด้วยปัจจัยเครื่องอาศัย “เธอจงบอกเขาว่าปฏิบัติบูชาเราเถิด”

ถ้าโครงสร้างมันก็เป็นเรื่องวัตถุทั้งนั้นน่ะ แต่เวลามันจะละเอียดขึ้นมา ละเอียดขึ้นมา เราตบแต่งภายในของเราเราดูแลรักษาหัวใจของเรา นี่ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ต้องใช้วัตถุแล้ว ใช้แต่ร่างกายนี้ ธาตุ ๔

ธาตุ ๔คือร่างกายของเรา ชีวิตของเราคือความรู้สึกของเรา จิตใจของเรา เราประพฤติปฏิบัติเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่ากับเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปค้นคว้าพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่นผู้เบิกบานพุทธะในหัวใจของเรา แล้วขัดเกลาทำความสะอาดอันนี้ ถ้าทำความสะอาดอันนี้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ มันจบสิ้นกระบวนการของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราก็รักษาดูแลหัวใจของเราเพื่อประโยชน์กับเราดูแลใจของเราเพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้ เพื่อชีวิตของเรา ชีวิตของเราแท้ๆ เป็นบุญเป็นกุศล เป็นสมบัติของเราปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก คนไปเห็นไปจับต้องได้แล้วมันชัดเจนมาก แต่คนยังไม่รู้ไม่เห็น มันเป็นอารมณ์ความรู้สึก มันเป็นนามธรรมแต่ถ้ามันจับต้องได้ มันพิจารณาได้ มันแก้ไขได้ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตเอวัง